
เบลอทุกเมื่อ เหม่อทุกวัน ระวังโรคหลอดเลือดสมอง
ในปี 2566 ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองถึง 349,126 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 36,214 ราย ซึ่งพบว่าเพศชายมีจำนวนมากกว่าเพศหญิง นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มักมีอายุต่ำกว่า 70 ปี
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ "สโตรก" เกิดจากการที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้ตามปกติ สาเหตุหลัก ๆ มีอยู่สองประเภทคือ
1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke): เกิดจากลิ่มเลือดไปอุดกั้นหลอดเลือดในสมอง ทำให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร อาจเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด (ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว) หรือลิ่มเลือดที่ไหลมาจากส่วนอื่นของร่างกาย
2. โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke): เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดไหลออกไปในสมองหรือรอบ ๆ เนื้อสมอง มักเกิดจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง: ความดันที่มากเกินไปทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและเสี่ยงต่อการแตกหรืออุดตัน
- ไขมันในเลือดสูง: ไขมันสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
- เบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำลายหลอดเลือดและเส้นเลือดในสมอง
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: ส่งผลให้หลอดเลือดเสียหายและเพิ่มโอกาสเกิดโรค
- โรคหัวใจ: โรคหัวใจบางประเภท เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้เกิดลิ่มเลือดและนำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือดในสมอง
- ขาดการออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน: ส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือดและการควบคุมความดันโลหิต

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) สามารถจำง่าย ๆ ด้วยหลัก FAST ซึ่งย่อมาจาก
F - Face (ใบหน้า): สังเกตว่ามีการอ่อนแรงของใบหน้าหรือไม่ เช่น ปากเบี้ยว ยิ้มไม่เท่ากัน หน้าซีกหนึ่งอาจตกหรือลงข้าง
A - Arms (แขน): ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสังเกตว่ามีแขนอ่อนแรงหรือไม่ หากแขนข้างใดข้างหนึ่งตกลงหรือยกขึ้นไม่ได้ นั่นเป็นสัญญาณของอัมพฤกษ์
S - Speech (การพูด): พูดไม่ชัด ลิ้นพัน หรือพูดติดขัด ฟังไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถพูดคำง่าย ๆ ได้ตามปกติ
T - Time (เวลา): หากพบอาการเหล่านี้ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เพราะการรักษาในเวลาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสฟื้นตัวได้
การสังเกตอาการเบื้องต้นตามหลัก FAST สามารถช่วยให้เราตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินได้รวดเร็วและเพิ่มโอกาสในการรักษา
การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ควบคุมความดันโลหิต: ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมอง ควรตรวจเช็กความดันเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารเค็มและอาหารสำเร็จรูป
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือว่ายน้ำ ควรทำอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
3. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำและออกกำลังกาย
4. งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: บุหรี่และแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ควรเลิกสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
5. ควบคุมระดับไขมันในเลือด: การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบ ควรลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว เช่น ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน และควรเพิ่มการรับประทานผักผลไม้
6. จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมอง ควรหาวิธีจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชอบ
7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักผลไม้ ธัญพืช ลดการบริโภคอาหารแปรรูปและอาหารที่มีไขมันทรานส์
8. นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับที่ดีมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรค ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมง
การดูแลสุขภาพอย่างครบถ้วนในทุกด้านนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ในแง่ของป้องกัน โรคหลอดเลือดสมอง ให้อุ่นใจกว่าเดิม นั่นก็คือการเลือก “ประกันโรคร้ายแรง” สัญญาเพิ่มเติม AIA CI Plus และ AIA Multi-Pay CI plus คุ้มครองโรคร้ายแรง ครอบคลุมทุกระดับการเจ็บป่วย รวมถึงการเจ็บป่วยรุนแรง และดูแลไปตลอดแม้ในยามฟื้นฟูร่างกาย ช่วยให้มีการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดี
สนใจทำประกัน AIA CI Plus และ AIA Multi-Pay CI Plus กดติดต่อกลับเพื่อกรอกแบบฟอร์ม ให้ตัวแทนแนะนำแบบประกันที่เหมาะกับคณ
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ระบุใน สัญญาเพิ่มเติม AIA CI Plus และ AIA Multi-Pay CI plus
หมายเหตุ
- ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์
- ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง ของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอบคุณข้อมูล กระทรวงสาธารณสุข